สูตรสำเร็จ สร้างลูกให้ ‘เก่ง-ดี-มีสุข’


หากพูดถึงสังคไทยการแข่งขันบนความกดดันของเด็กยังคงเป็นเรื่องท้าทายของคุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่ไม่ใช่น้อย เพราะอยากให้ลูกสุดที่รักเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่เข้าเส้นชัยไม่ต่างจากลูกคนอื่น โดยเฉพาะการสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่พ่อแม่คาดหวังมากที่สุด

ดังนั้น จึงทุ่มเทและส่งเสียลูกเรียนพิเศษ โดยไม่คิดถึงเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อย เพียงขอให้ลูกเก่ง และเป็นหนึ่งในผู้เข้าเส้นชันเท่านั้น ไม่ต่างกับเด็กตัวเล็ก ที่มีอายุน้อยๆ ก็ถูกจัดตารางให้เรียนพิเศษแน่นเอี้ยดเกือบทุกวัน ซึ่งเด็กบางคนไม่มีแม้กระทั่งเวลาผ่อนคลายตัวเองเลยด้วยซ้ำ

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่พ่อแม่กำลังเข้าใจผิดต่อเรื่องของการส่งเสริมให้ลูกเก่งแบบผิดวิธี ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.) ได้ให้มุมมองถึงพ่อแม่ยุคใหม่ที่เน้นให้ลูกเรียนพิเศษตั้งแต่เล็กว่า ความคาดหวังของพ่อแม่ ทำให้ลูกไม่มีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่เขาชอบ บางคนให้ลูกเรียนติดต่อกัน 5 วันหลังเลิกเรียน หรือบางคนเรียนจันทร์ถึงอาทิตย์ ทำให้เด็กกดดัน จนท้ายที่สุดต้องหาทางออกด้วยวิถีทางที่ไม่เหมาะสม

การคาดหวังให้ลูกเก่งจากการจัดตารางของพ่อแม่ อย่าหวังว่าลูกจะเป็นเด็กปกติจากตารางที่พ่อแม่จัดให้ เพราะเด็กจะยิ่งผิดปกติ ที่สำคัญเด็กไทยเริ่มขาดโอกาสที่จะเห็นกระบวนการทำงานของสิ่งต่างๆ เพราะพวกเขาอยู่ในยุคสมัย ทุกสิ่งสรรพสำเร็จรูป กับข้าวก็สำเร็จรูป เสื้อก็สำเร็จรูป เขาไม่ต้องรอคอย ไม่ค่อยได้เห็นการเริ่มต้น และการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่นในอดีต ระบบสำเร็จรูปช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ก็ทำลายการเรียนรู้ของเด็กๆ ไปไม่น้อย

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อแม่ยุคใหม่ ได้เข้าใจปัจจัยที่ทำให้คนเป็นคนเก่งระดับยอดเยี่ยมนั้น ประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพ มศว. ได้อ้างอิงจากผลงานวิจัยของ "ดร.เบนจามิน บลูม" ผู้ซึ่งนักการศึกษาทั่วโลกยอมรับว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษา เพราะถ้าจะพูดว่าเก่งจากสภาพแวดล้อม และการเลี้ยงดูดี ก็จะกลายเป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินเกินไป

อาจารย์เล่าให้ฟังถึงงานวิจัยชิ้นนี้ว่า ดร.บลูม ได้ตั้งคณะกรรมการการวิจัยชุดหนึ่ง ซักถามเก็บรายละเอียดพฤติกรรรม ประวัติ และข้อมูลต่างๆ จากคนที่คนในสังคมยอมรับว่า เป็นหนึ่ง ในยุทธจักรด้านต่างๆ จากคน 6 สาขา ได้แก่ นักแกะสลักประติมากรรม นักวิจัยทางคณิตศาสตร์ นักเปียโน นักวิจัยทางประสาทศึกษา นักว่ายน้ำเหรียญทองโอลิมปิก และนักเทนนิสระดับแชมป์เปี้ยน อายุไม่เกิน 35 ปี โดยงานวิจัยชิ้นนี้ใช้เวลาเกือบ 5 ปีเต็มๆ จึงเก็บรายละเอียดได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียน วิธีพัฒนาความเก่งในสาขาของตนเอง การสนับสนุนจากแหล่งต่างๆ นอกจากนี้ยังสอบถามไปถึงพ่อแม่ ครู โค้ช เพื่อนๆ หรือคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย


ทั้งนี้ หลังจากการวิจัย ผลสรุปที่ได้มีความน่าสนใจว่า พ่อแม่ของอัจฉริยบุคคลทุกคนไม่เคยคาดหวังให้ลูกต้องเป็นอัจฉริยะ แต่เลี้ยงด้วยความเข้าใจธรรมชาติของลูก โดยจะสังเกตพฤติกรรม และความสามารถของลูกตั้งแต่ยังเล็ก ยกตัวอย่างเช่น ไทเกอร์ วูดส์ ชอบเล่นกอล์ฟมาตั้งแต่ 3 ขวบ หรือโมสาร์ท ชอบเล่นเปียโนมาตั้งแต่ 3 ขวบ ซึ่งเมื่อค้นพบว่าลูกชอบ และมีความสามารถด้านนั้นๆ เป็นพิเศษ คุณแม่ทั้งหลายก็จะสนับสนุน และทุ่มสุดตัวเพื่อให้เล่นได้เก่ง พอถึงช่วงหนึ่งก็จะหาผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพมาทำการสอนให้เกิดความชำนาญ และเป็นมืออาชีพมากขึ้น

นอกจากนี้ พ่อแม่ทั้งหลายยังสอนให้ลูกทุกคนมุ่งมั่นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบความสำเร็จ หรือทำให้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน รวมทั้งจะสอนให้ลูกบูชางานหนัก และพึ่งตัวเอง ไม่สอนให้เป็นคุณหญิง คุณชายที่ทำอะไรไม่เป็น หรือกลัวว่าลูกจะเหนื่อย ที่สำคัญสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนให้กับลูก คือ ความรัก และความเอาใจใส่ดูแลอย่างเต็มที่ ซึ่งพวกเธอเชื่อว่า ความรักเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง และถ้าลูกรักจะทำอะไร พ่อแม่จะให้ลูกทำในสิ่งที่รักเพื่อความสุขของลูก

อย่างไรก็ดี อาจารย์ได้บอกเสริมด้วยว่า ก่อนการตั้งครรภ์คุณแม่ของอัจฉริยบุคคลส่วนใหญ่ มีการเตรียมพร้อม และตั้งใจจะมีลูกอย่างจริงใจ ด้วยหัวใจของแม่อย่างแท้จริง และขณะตั้งครรภ์อาหารที่คุณแม่กิน คือ อาหารที่มีโปรตีนสูง ไม่กินอาหารที่แปลกปลอม หรืออาหารที่มีสารพิษเจือปน ซึ่งจะมีการดูแลเรื่องอาหารเป็นอย่างดี ที่สำคัญคุณแม่ทุกคนจะมีความสุขใจอย่างที่สุด ที่มีลูกน้อยกลอยใจอยู่ในท้องของพวกเธอ นอกจากนี้จะลดความกังวล หรือความเครียดในเรื่องต่างๆ ลง


จะเห็นได้ว่า พ่อแม่ของอัจฉริยบุคคล ไม่ได้คาดหวังว่าลูกต้องเก่ง เพียงแต่ให้ความรัก และความเข้าใจอย่างเต็มที่ สนับสนุนด้านเด่นของลูกอย่างเต็มที่ เท่านี้ลูกจะเป็นอัจฉริยะได้ (ในสายตาของพ่อกับแม่) โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่นให้เกิดความเครียด และความกดดัน เพราะคนที่ต้องรับกรรม ไม่ใช่ใครอื่นใด นั่นคือ ลูกของคุณนั่นเอง

ดังนั้น การใฝ่ฝันว่าลูก อาจ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นเศรษฐีร้อยล้านในอนาคต แต่พ่อแม่วิ่งไล่ป้อนข้าวจน 10 ขวบ หาคนมาใส่รองเท้าซ้ายหนึ่งข้าง ขวาหนึ่งข้าง ถือกระเป๋าเป็นนักเรียนเดินตาม คอยังไม่ถึงพวงมาลัย ก็โยนกุญแจให้เอารถขับไปชนโน่นชนนี่ตามชอบใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความฝันไม่มีวันจะเป็นจริงได้แน่นอน เพราะอัจฉริยบุคคลไม่ใช่ได้มาชั่วข้ามคืน หรือซื้อได้จากห้างสรรพสินค้าที่ลูกท่านไปอยู่บ่อยๆ

Comments

0 Responses to "สูตรสำเร็จ สร้างลูกให้ ‘เก่ง-ดี-มีสุข’"

Post a Comment