น้ำกะทิ รักษาผมร่วง

โปรตีนช่วยบำรุงรากให้งอกยาวเร็ว

ใครมีปัญหาผมร่วง วันนี้มีวิธีรักษาผมร่วงด้วยน้ำกะทิมาฝาก...

น้ำกะทิ ขาวข้นอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย

วิธีทำ นำหัวกะทิมาชโลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว แล้วใช้ปลายนิ้วมือนวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วสระผมตามปกติ

เพียงเท่านี้ปัญหาผมร่วงก็จะหมดไป.

สิ่งที่ ‘ไม่’ ควรทำหลังทานอิ่ม!

สูบบุหรี่-อาบน้ำ-เดินย่อย เลี่ยงไว้เป็นดี

1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น)

2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้อง ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า

3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก

4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ

5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือและเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียน บริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่

6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้ว ให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปีการเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึม สารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ

7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลม หรือแก๊สในทางเดินอาหาร

“ไข่ขาว”รักษาแผลน้ำร้อนลวก

แนะห้ามแกะ-เกา ก่อนทา เสี่ยงหนังถลอก

ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ มีวิธีรักษามาบอก

เริ่ม แรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือพุพองก็จะหายไป

ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก

รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์


เน้นผักและปลา เพราะย่อยง่าย

ใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ วันนี้คงสำราญ เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว วันนี้ยังมีเทคนิคกินบุฟเฟ่ต์อย่างไรให้ได้ประโยชน์มาบอกด้วย

- กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง และหันมากินเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แถมยังปราศจากไขมันและไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

- กินอาหารที่ต้มหรือลวก และพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชา

- สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่

- เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะ นอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อน ทำให้เนื้อไม่สุกดี

- อย่ารีบกินจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยย่อยอาหาร

- ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้น ๆ ด้วยวิธีเบา ๆ เช่น ค่อย ๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกินอาหารแล้ว ห้ามล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ อื่น ๆ ก่อน

- รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ รับรองอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์

5 อาหารต้านรอยย่น


แถมช่วยลดเสี่ยงสารพัดโรคด้วย

รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้

1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า - 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น

2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้

4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน

อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปาก

กลิ่นปาก แก้ได้

คุณเคยมีปัญหากลิ่นเหม็นที่เกิดจากปากไหม?

ซึ่ง กลิ่นที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกันกับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วน อื่นๆ ของร่างกายมนุษย์ โดยเป็นผลมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตาม ส่วนต่างๆ ของช่องปากทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น

ซึ่งกลิ่นเหม็นในช่องปากสามารถแยกออกได้ 4 แบบ คือ แบบที่หนึ่งกลิ่นที่เกิดจากฟัน แบบที่สองกลิ่นที่เกิดจากโรคปริทันต์และซอกเหงือก แบบที่สามเกิดจากด้านหลังของลิ้น แบบที่สี่กลิ่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่

โดย ทั่วไปแล้วกลิ่นปากที่พบมากที่สุดในช่องปากคือที่ร่องเหงือก ลิ้น ครอบฟันบริเวณที่อุดฟัน โรคปริทันต์ ฟันที่ผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ซึ่งมีเศษอาหารตกค้าง การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อย และในคนสูบบุหรี่ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายในช่องปากและนอกช่องปาก

กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก เป็นผลมาจากแผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก แผลที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันหรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก ฟันผุที่มีเศษอาหารสามารถตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน โรคปริทันต์ที่ลุกลาม ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะรอบฟันเป็นที่สะสมของเศษอาหาร ผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือเครื่องมือต่างๆ ในช่องปาก เช่น เฝือกสบฟัน เครื่องมือจัดฟัน หรือ เครื่องมือกันฟันล้ม ที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดกลิ่นในช่องปาก

น้ำลายก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ซึ่งในช่องปากของคนเรามีน้ำลายเป็นเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติให้มาเพื่อ ช่วยชะล้างสิ่งสกปรก กลิ่นปากเมื่อในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมากช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลาย ที่หลั่งออกมาน้อย เนื่องจากน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยปกติน้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว การคิดถึงอาหารที่อร่อย หรืออาหารที่ชอบมากๆ แต่ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับ ภาวะการอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

บางครั้งกลิ่นเหม็นจากช่องปาก สามารถเกิดได้จาก ลิ้น บริเวณ โคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ ซึ่งอาการนี้จะทำให้มีน้ำเมือกจากช่องจมูกไหลลงคอในระยะแรกๆ แต่อาการนี้จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากในระยะแรกๆ แต่เมื่อทิ้งระยะไว้สัก 2-3 วัน แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่นนี้ได้โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมกลิ่นดู โดยปกติคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะได้กลิ่นเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแก้ไขด้วยการแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างอยู่ในช่องปากนี้ได้

การสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วไปของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่นๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้

การหายใจทางปากบ่อย ทำให้น้ำลายแห้ง ดังนั้นการหายใจทางปากจึงส่งผลให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น และเกิดกลิ่นปากได้มากขึ้นเช่นกัน

การรับประทานอาหารก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่น กัน อาทิ หัวหอม หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารพวกนี้จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกแล้ว กลิ่นก็จะหายไปได้เอง

แต่สำหรับในบางกรณีระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่เกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น

โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงจมูก โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย

ซึ่ง วิธีทดสอบง่ายๆ หากอยากรู้ว่าเรามีกลิ่นปากหรือไม่สามารถทำได้โดยใช้วิธีเอามือปิดปากและ จมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก และดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ หรืออาจจะใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู ในบางคนอาจจะใช้นิ้วมือถูที่บริเวณเหงือก แล้วนำมาดมกลิ่นว่าเหม็นหรือไม่

ใช้วิธีขอร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้

เมื่อ รู้ว่าเรามีกลิ่นปากสามารถดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปากได้ง่ายๆ ด้วยการดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ หากมีสภาพเหงือกหรือฟันที่เป็นโรค ควรรีบรักษา หรือปรึกษาทันตแพทย์ทันที ในกรณีที่มีฟันเก มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่เป็นแหล่งทำให้มีเศษอาหารตกค้าง ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากการแปรงฟัน

ลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาดและแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น ที่สำคัญต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปากรีบดูแลตัวเอง รักษาความสะอ่าองปากรับรอง ไม่นานมีคนอยากเข้าใกล้คุณอีกเพียบ….

ดอกแค แก้บิด-ท้องร่วง


เปลือก ใบ ราก ดอกมาต้มหยอดจมูกแก้ริดสีดวงจมูก

วันนี้เรามีต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักในนามของ ดอกแค มาฝากกัน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า ดอกแค นี้กันก่อนดีกว่า

ดอกแคเป็น พืชที่ปลูกง่าย มีอายุไม่นานก็ยืนต้นตาย แคเป็นพืชสายพันธุ์เหมือนพืชตระกูลถั่ว มีเนื้ออ่อน ใบจะเรียวดูคล้ายกับขนนก เมื่อออกดอกเป็นสีขาวและสีแดงเมื่อดอกบานออกแมลงจะมาตอมแล้วจะผสมเกสร ระหว่างดอกกัน จากนั้นก็จะกลายเป็นฝัก ฝักของมันจะมีลักษณะเหมือนถั่วฝักยาวปลูกได้ในทุกพื้นที่ทั้งดินเหนียวและ ดินปนทรายขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดที่แก่จัด ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน คันนา ริมถนน และในบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้เพื่อปรับพื้นที่ให้มีปุ๋ย เพราะใบแคที่ผุแล้ว ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์

สำหรับ ส่วนที่นิยมนำมารับประทานนั้นจะเป็นบริเวณยอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน และฝักอ่อนซึ่งจะออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกอ่อนจะออกในช่วงฤดูหนาว ดอกแค 100 กรัม หรือ 1 ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย 10 กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี

ที่สำคัญทุกส่วนของแคสามารถนำมาทำยาได้ จึงนับว่าเป็นพืชที่ทรงคุณค่ามากชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

เปลือกนำมาต้มคั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ ที่สำคัญสามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ ส่วนดอกแคมีคุณสมบัติในการใช้รักษาไข้หัวลมเมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี ใบจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย แก้รอยฟกช้ำโดยการโขลกแล้วนำไปพอกบริเวณนั้น สำหรับคนที่มีเป็นโรคริดสีดวงจมูก สามารถใช้เปลือก ใบ ราก และดอกมาต้มหยอดจมูกได้

ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือก่อนที่จะนำดอกแคมาทำอาหารต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อน เพราะเจ้าเกสรสีเหลืองนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีรสขม

รู้ อย่างนี้แล้วอย่ามองข้ามดอกแคนะคะ หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้นลองหาดอกแคมาแก้อาการดู แล้วคุณจะรู้ว่า พืช ผัก สมุนไพร ใกล้ตัวคุณมีประโยชน์มากจริงๆ



ดูแลผมสวยด้วยความลับจากธรรมชาติ


ไข่ มะนาว ขิง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ช่วยได้

การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่รักสวยรักงาม วันนี้ Tips สุขภาพ กับ สสส. มีวิธีดูแลผม เสน่ห์อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามมาฝากกันคะ

เริ่มต้นที่คนที่มีปัญหาเรื่องผมแห้ง ซึ่งคนที่มีผมแห้งมักจะมีปัญหาเรื่องการหวีจัดทรงยาก ผมไม่มีสปริงไม่มีน้ำหนักขาดชีวิตชีวา ทำให้หนังศีรษะแห้งและเกิดสะเก็ดรังแคง่าย ลองใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับไข่ไก่ดู สิค่ะ วิธีการทำเพียงใช้น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะตั้งไฟอ่อนผสมกับไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่แดง) ตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นให้รอจนเย็นแล้วนำไปลูบให้ทั่วศีรษะ นวดด้วยปลายนิ้วให้ทั่วทั้งด้านหน้าจรดท้ายทอย โดยใช้ฝ่ามือขยำๆ ขยี้ๆ ให้ทั่วเพื่อให้ซึมเข้าสู่เส้นผม หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วสระด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจะนุ่มดูมีน้ำหนักและจัดทรงง่ายขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นของไข่ไก่ให้ลองใช้สูตรน้ำมันมะกอกดู ก็ได้ค่ะ เพียงนำน้ำมันมะกอกอุ่นๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมานวดหนังศีรษะหวีและชโลมเส้นผมให้ทั่ว ซึ่งวิธีการนวดให้นวดเป็นวงกลมเล็กๆ เมื่อนวดจนทั่วศีรษะแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูพันศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นให้สระด้วยแชมพูอ่อนๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสภาพดีได้เหมือนกันค่ะ

ต่อมาสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับรังแคบนศีรษะ เพราะเมื่อไรที่รังแคมาเยือนมักจะมีอาการคันตามมาเสมอ แถมยังสร้างความอับอายขายหน้าด้วยการออกมาโชว์ให้เห็นกันอยู่เสมอๆ ลองใช้สูตรน้ำมะนาว หรือ น้ำมะกรูด กันดูสิคะ วิธีการไม่ยากค่ะเพียงคั้นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดที่ผ่านการเผาไฟแล้ว มานวดหนังศีรษะหลังสระผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ให้ล้างออก เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยลดเจ้ารังแคออกจากศีรษะได้แล้วละคะ

สำหรับคนที่มีผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายลองใช้ ขิง แก้ผมร่วงดูสิคะ เชื่อได้เลยว่าใช้แล้วปัญหา หัวล้าน จะไม่มาเยือนคุณแน่นอน วิธีการง่ายๆ เพียงนำเหง้าขิงสดมาเผาไฟ ทุบให้แตกผสมน้ำนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือนำขิงแก่ 1 เหง้า ขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบางเป็นลูกประคบ วางบนหม้อประคบที่ต้มน้ำจนเดือด เมื่อลูกประคบร้อนนำไปประคบบริเวณผมร่วง ทำวันละ 2 ครั้ง 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล

ส่วนคนที่มีเส้นผมหยิกหยักศกที่สำคัญยังพบอาการแห้งและฟู ยิ่ง ถ้าทั้งหยิกและหนาด้วยแล้วล่ะก็จะทำให้ศีรษะดูโต ฟูมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ายังชอบผมทรงนี้อยู่ไม่อยากที่จะยืดให้ตรงแล้วละก็หมั่นบำรุงดูแลรักษา ด้วยวิธีต่อไปนี้สิคะ นำน้ำกับน้ำมะนาวผสมกันให้เจือจางหลังจากนั้นนำมาชโลมผมหลังจากล้างผมน้ำสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบ-หวีง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ผมดูเงางามได้ค่ะ

ผมมันก็เป็นผมอีกแบบที่มักสร้างปัญหาตามมามากมายทั้งเป็นสะเก็ดรังแค หนังศีรษะคันง่าย การรักษาความสะอาดของเส้นผมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้ แต่ทางที่ดีต้องบำรุงรักษาด้วยไข่ขาวผสมน้ำอุ่นดูสิคะ รับรองอาการมันจะลดลงและหมดไปในที่สุดค่ะ วิธีการคือ ใช้ไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่น ½ แก้วตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปราดลงบนผมเส้น ใช้มือนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นโดยไม่ต้องสระผมซ้ำ ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผมจะค่อยๆ ปรับสภาพ และหายมันค่ะ

สำหรับคนผมแตกปลาย พบมากในคนที่ชอบทำสีผม การม้วนผมหรือการดัด ตัดซอยด้วยใบมีดโกน หรือในคนที่ต้องใช้ความร้อนกับผมบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งใช้อุปกรณ์ตกแต่งทรงผมอย่างขาดความระมัดระวังก็ตาม วันนี้หมดกังวลได้เลยค่ะ แค่ใช้ไข่ไก่ผสมกับน้ำมันงาและน้ำผึ้ง โดยใช้ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ตีผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นราดให้ทั่วศีรษะ แล้วค่อยๆ นำส่วนผสมที่ทำไว้เทลงไปให้ทั่วศีรษะคลุมด้วยผ้าขนหนูชุบกับน้ำอุ่นหมักทิ้ง ไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง แค่นี้ผมแตกปลายก็จะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้วละค่ะ

ผมทำสีก็ เช่นกันค่ะต้องรักษาดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นสภาพผมที่อ่อนแอที่สุด นอกจากมีอาการแห้งกรอบภายในเส้นผมจะมีรูพรุนอยู่ทั่วไป ที่สำคัญยังเป็นต้นเหตุของปัญหาเส้นผมทั้งผมร่วง แห้ง เสีย หากไม่อยากให้เส้นผมมีอายุการใช้งานสั้นเกินไปลองนำสูตรการดูแลเส้นผมสูตร นี้ไปใช้ดู สูตรน้ำมะนาว วิธีการทำให้นำน้ำมะนาวจำนวน 2 ผลมาคั้นเอาแต่น้ำใส่บริเวณโคนผม ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้เป่าผมจนแห้ง วิธีนี้จะช่วยให้สีผมที่ทำมาชัดขึ้นแถมยังบำรุงหนังศีรษะได้ด้วยค่ะ

แต่ ทั้งนี้เพื่อให้เส้นผมอยู่กับเราไปนานๆ การเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมจากภายในด้วยการเลือกกินอาหารที่ช่วย บำรุงเส้นผมก็จำเป็นเช่นกันค่ะ ซึ่งอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอย่าง ฟักทอง มะละกอ ตำลึง หรือ

แครอท เหล่านี้จะช่วยให้ผมเงางามและมีน้ำหนักขึ้นได้ แต่ควรเสริมวิตามินซีและอี ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เข้าไปด้วยจะทำให้ผมดูดียิ่งขึ้นได้ ที่สำคัญควรลดการดื่มน้ำอัดลมเพราะทำให้เลือดเป็นกรดและส่งผลให้เส้นผมสูญ เสียแร่ธาตุไปในตัวได้คะ

รู้อย่างนี้แล้วหากต้องการมีผมสวยลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดูนะค่ะแล้วคุณจะรู้ ผมสวย” อยู่ใกล้มือคุณนิดเดียว....

สูตรเด็ด!! เคล็ดลดน้ำหนัก


10 วิธีปฏิบัติเพื่อหุ่นสวยสุขภาพดี

สูตรที่ 1 พยายามตั้งใจทำสิ่งเหล่านี้ จนเคยชินค่ะ

1. เดินวันละ 1 หมื่นก้าว ทดลองนับก้าวแล้วประมาณเอาก็ได้ค่ะ

2. ต้องกินอาหารเช้าค่ะ อย่าปล่อยให้หิว จะตบะแตกตอนสาย

3. กินอาหารตามเวลา ถ้าเลยเวลาจะหิวจัด คว้าของหวาน - มันมากิน

4. เวลากินอาหารให้ตั้งใจว่าไม่ทำงานอื่น ไม่ทำกิจกรรมอื่น เพราะจะกินเพลิน มาก - น้อยไม่รู้ปริมาณค่ะ

5. อย่ากินจนพุงกาง พอรู้สึกว่าใกล้อิ่ม ให้ดื่มน้ำได้เลยจะอิ่มพอดี

6. เคี้ยวอาหารช้าๆ วางช้อน วางส้อมบ้าง คุยกับผู้ร่วมโต๊ะอาหารบ้าง

7. แม้เป็นอาหารที่ชอบ ก็อย่าตักมามากมาย ยั้งไว้หน่อย

8. ก่อนไปตลาด ต้องกินให้อิ่ม จะทำให้ซื้ออาหารไม่มาก

9. ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำอัดลม ให้เลือกชนิดที่ใช้น้ำตาลเทียม

10. นำรายการอาหารที่จะซื้อ แล้วจ่ายตามนั้น จะไม่เกินขนาด

11. ควรแบ่งอาหารเป็น 5 มื้อย่อย ดีกว่า 3 มื้อที่มากมาย

12. มีอารมณ์ขันบ้าง ผู้มีความเครียดจะกินจุ

13. เหลืออาหารไว้ในจานบ้าง อย่ากินจนเกลี้ยงชาม

14. ใช้อุปกรณ์ ช้อนส้อม ในการกินอาหารแทนใช้มือเปล่า

15. อาหารมื้อเช้า กลางวัน ควรมากกว่ามื้อเย็น

สูตรที่ 2 วิธีปรุงอาหาร

1. ใช้วิธี ต้ม นึ่ง ย่าง เผา หรือเข้าไมโครเวฟ หลีกเลี่ยงการทอดด้วยน้ำมัน น้ำมัน 1 ช้อนชา เท่ากับ 45 กิโลแคลอรี ค่ะ

2. อาหาร 1 จาน ควรมีผักครึ่งหนึ่ง มีเนื้อสัตว์? และแป้ง? หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้

3. กินผลไม้แทนน้ำผลไม้คั้น จะได้เส้นใยแทนที่จะได้น้ำตาลล้วนๆ

4. ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร แทนการใช้ซอสไขมัน

5. กินอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงหนังไก่ หนังหมู หรือไขมันสัตว์

6. ใช้น้ำปรุงอาหาร แทนน้ำมัน ต้มแทนผัด, ทอด

7. ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลจริง ขณะนี้มีหลายชนิด บางชนิดใช้ปรุงอาหารร้อนบนเตาได้ ไม่เสียรสชาติแต่อย่างใด

สูตรที่ 3 ทำได้ให้อาหารน้อยดูเหมือนมาก

1. เลือกซื้ออาหาร ถ้วยเล็ก ขวดเล็ก แทนขนาดกลางหรือขนาดใหญ่

2. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ ขอเว้น 3 วันต่อเนื่องกันในแต่ละสัปดาห์

3. ใช้จานเล็กใส่อาหารแทนจานใหญ่ ใช้แก้วทรงผอมสูงแทนแก้วเตี้ย จะได้ลดปริมาณอาหารลงบ้าง

4. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากแป้งขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวสารควรใช้ข้าวกล้องแทน

5. ตักอาหารใส่ในภาชนะที่ทราบขนาด อย่ารับประทานจากถุงหรือขวดที่ใส่ จะไม่เห็นขนาดที่ใช้ไป

6. ก่อนไปงานเลี้ยงกินอาหารแคลอรีต่ำรองท้องไปก่อน ป้องกันหิวอาหาร และจะอดใจไม่กินอาหารแคลอรีสูง

7. ใช้สีช่วยลดความอยากอาหาร ห้องสีฟ้าจะลดความอยากอาหาร ผ้าปูโต๊ะสีแดงชวนให้อยากอาหาร

สูตรที่ 4 วางแผนก่อนไปร่วมงานเลี้ยง

1. หลีกเลี่ยงอาหารบุฟเฟ่ต์ ซึ่งตักได้มากมาย ทำให้ต้องกินจุ

2. สั่งอาหารเฉพาะในขนาดที่ต้องการ เวลาหิวคุณจะสั่งอาหารมากค่ะ

3. ไม่จำเป็นต้องกินอาหารจนเกลี้ยงจาน เหลือไว้บ้างค่ะ

4. หลีกเลี่ยงขนมปังที่ใส่กระเทียม หรือขนมปังที่ปรุงด้วยสมุนไพร

5. สั่งซอสหรือน้ำสลัดแยกจากผัก น้ำสลัดมีน้ำมัน มีแคลอรีสูง

6. ถ้าจะกินอาหารอิตาเลียน ให้เลือกซอสมะเขือเทศแทนเนย

7. ของหวานให้เลือกผลไม้ เลือกเชอร์เบทแทนไอศกรีม

8. ดื่มน้ำก่อนกินอาหาร ก่อนจะอิ่มดื่มน้ำอีกครั้ง จะอิ่มพอดี

สูตรที่ 5 ความเชื่อที่ไม่เป็นจริง

มีสิ่งที่เล่าขานกันมาหลายเรื่องที่คิดว่าจะช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ไม่เป็นความจริง ลองดูความเชื่อที่ผิดๆ เหล่านี้กันค่ะ

1. การดื่มน้ำร้อนจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ข้อนี้ไม่จริง ความร้อนจะเกิดจากการเผาผลาญอาหารมากกว่า เมื่อร่างกายใช้พลังงานมาก เช่น การออกกำลังกาย ทำให้อาหารถูกเผาผลาญออกไปมากกว่าการอยู่นิ่งๆ

2. ความเชื่อที่ติดอันดับเดียวกับน้ำร้อน คืออาหารบางชนิดจะทำให้ลดแคลอรี ไม่มีนะคะอาหารที่ว่านี้

3. การลดน้ำหนักที่ได้ผลจะต้องอดอาหาร ข้อนี้ก็ไม่จริง การเว้นอาหารจะทำให้น้ำตาลลดลง ทำให้หิวอาหาร และจะกินมากกว่าที่ควร

4. การออกกำลังท่านอนราบยกตัวขึ้น ทำให้หน้าท้องแบนราบ ข้อนี้ก็ไม่จริง เห็นไหมคะว่าเราเข้าใจคลาดเคลื่อนมานานจริงๆ

5. งดอาหารแป้งหลังจาก 5 โมงเย็น ไม่ได้ทำให้เกิดข้อแตกต่าง ถ้ากินอาหารไขมัน หรือเนื้อสัตว์ จะเกิดไขมันสะสมได้เช่นเดียวกัน

6. ถ้าออกกำลังขณะท้องว่าง จะทำให้เผาผลาญไขมันในเวลาอันรวดเร็ว ไม่จริงค่ะ จะทำเวลาไหนก็ได้เท่ากัน เวลาท้องว่างอาจทำให้หิวจัด เป็นลมได้

7. การควบคุมอาหารจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ต่อเนื่อง ไม่เป็นจริงจะต้องออกกำลังกายร่วมด้วย

8. การกินอาหารน้อยลง จะทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง ก็ไม่จริงค่ะ

9. มีช่วงเวลาที่จะลดไขมันได้ โดยออกกำลังกายเพียงเล็กน้อยไม่เป็นจริง ทุกเวลามีค่าเท่ากันค่ะ

สูตรที่ 6 อาหารที่มีคุณค่าที่ควรเลือกรับประทาน

1. หลักการคือใช้อาหารที่ไม่ปรุงแต่งมาก ใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด

2. ผักสด ผลไม้สด ไม่ต้องเคลือบ ไม่ต้องตากแห้ง ไม่หมักดอง

3. ใช้เนื้อสัตว์ไม่ติดไขมัน ถั่วเป็นอาหารโปรตีนที่ไม่มีไขมัน ไก่ หมู ไม่ติดหนัง ปลาทุกชนิดให้โปรตีนที่ดีไขมันต่ำ

4. อาหารที่มีเส้นใย ข้าวไม่ขัดสีมากจะมีเส้นใยเหลืออยู่

5. ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว คือ ประมาณ 2 ลิตร

6. อาหารที่ดูดซึมช้า ทำให้น้ำตาลเพิ่มช้า ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ผัก มันเทศ

7. อาหารที่มีไขมันชนิดทรานส์น้อย ได้แก่ ข้าว ถั่ว พาสต้า จะมีไขมันอิ่มตัวน้อย

8. ถ้าจะดื่มนม ควรใช้ชนิดไขมันต่ำ

9. ดื่มชาล้วน ไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม

10. รับประทานเครื่องเทศ พริก จะช่วยเผาผลาญอาหารได้รวดเร็ว

สูตรที่ 7 เตรียมพร้อมสู้กับความหิว

คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อม มิฉะนั้นเวลาหิวคุณจะหยิบทุกอย่างที่ขวางหน้าค่ะ

1. หางานอื่นมาทำ หรือทำงานต่อเนื่องให้ลืมหิว ยากค่ะ แต่ต้องฝึก

2. เตรียมผักสดไว้เคี้ยวแทนขนมหวาน เช่น แครอทก็อร่อยค่ะ

3. ดื่มน้ำสะอาด ใช้น้ำลูบท้องไงคะ

4. ลองทนดูประมาณ 10 นาที ถ้าไม่ไหว รองท้องนิดเดียว

5. ลองกินถั่วที่ไม่คลุกเกลือค่ะ เช่น ถั่วต้ม ถั่วลิสงคั่ว ประมาณ 10 เม็ด เคี้ยวช้าๆ

6. ดื่มน้ำชาร้อนๆ หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ใช้สารน้ำตาลเทียมได้

7. แปรงฟัน เวลาฟันสะอาดเรามักจะไม่อยากเคี้ยวอาหาร

8. เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล

9. อาจจะรับประทานสิ่งที่มันน้อย เช่น มันต้ม แทนมันทอด เอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย

สูตรที่ 8 มีบัญญัติ 10 ประการที่ไม่ควรฝ่าฝืน

ใช้ความคิดตรึกตรองดูว่าท่านจะละเว้นได้ไหม

1. การใช้ยาระบาย ไม่เป็นประโยชน์ในระยะยาว ระยะแรกอาจช่วยลดน้ำลงบ้าง หรือลดไขมันได้บางส่วน แต่มีอันตรายจากการสูญเสียน้ำ และสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามิน

2. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ต้องเริ่มวันนี้ เดี๋ยวนี้

3. อย่าคิดว่าอาหารที่บอกว่าแคลอรีต่ำแล้วจะกินได้ไม่ยับยั้ง ต้องอ่านฉลากอาหารก่อนค่ะ

4. อย่าเว้นอาหารมื้อใดๆ เป็นอันขาด กินทุกมื้อ แต่มื้อละนิดหน่อยพอหายหิว

5. ถ้าเหนื่อย หรือง่วง หรือเครียด อย่าแก้ด้วยการกินอาหาร ต้องพักให้หายเครียด หรือนอนเมื่อง่วงนอน

6. ไม่ควรขจัดไขมันจนเกลี้ยงเกลา ร่างกายต้องการไขมัน เพื่อละลายวิตามิน เอ ดี อี เค

7. อย่าคิดว่าชีวิตนี้จะหมดหวังหากไม่ลดน้ำหนัก คนอ้วน คนท้วม ก็ประสบความสำเร็จได้

8. อย่าเดินไปวนเวียนใกล้ตู้เย็นตอนดึก

9. ไม่ต้องชั่งน้ำหนักทุกวัน ถ้าไม่ลดจะเสียกำลังใจ

10. ถ้าจะต้องกินอาหารหวานมันเป็นบางครั้ง ก็ทำได้

สูตรที่ 9 ให้กำลังใจตนเองด้วยวิธีต่างๆ

1. จดเป้าหมายไว้ให้เห็นชัดๆ

2. บันทึกรายการอาหารที่กินแต่ละวัน จะเห็นส่วนเกิน

3. ให้รางวัลตนเอง หากประสบความสำเร็จ ยกเว้นการกินอาหาร

4. หาเพื่อนที่ลดน้ำหนักพร้อมๆ กัน เป็นกำลังใจกันเอง

5. ถ้าลดน้ำหนักได้ถึงเกณฑ์ ให้รางวัลใหญ่แก่ตัวเอง เช่น พักร้อนไปเที่ยว

6. หาสถานที่ออกกำลังกาย และไปจ่ายค่าบริการทุก 2 สัปดาห์ แทนที่จะจ่ายนานๆ ครั้ง เป็นการกระตุ้นให้ไปใช้บริการ

7. ส่องกระจกดูรูปร่างตนเอง ว่าดูดีขึ้นหรือไม่

8. ซื้อเสื้อผ้าขนาดเล็กเท่าที่อยากจะใส่ ถ้าซื้อเสื้อขนาดใหญ่จะอ้วนตามตัว พยายามอย่าใส่แซค ใช้กระโปรงมีเอวจะดีกว่า

สูตรที่ 10 ออกกำลังกายได้ทุกเวลา ทุกสถานที่

ไม่จำเป็นต้องรอไปสถานออกกำลังกาย

1. การเดิน ง่ายและไม่เปลืองค่าใช้จ่าย

2. ใช้บันไดแทนลิฟต์ ลงจากรถก่อนถึงสถานที่ทำงาน

3. เปลี่ยนวิธีออกกำลังกายมิให้เบื่อหน่าย

4. หาเพื่อนออกกำลังกายด้วย เหงื่อแก้เหงา

5. ฝึกการเกร็ง - หดยืดกล้ามเนื้อไปด้วย

6. ตั้งเป้าหมายชัดเจน เช่น ต้องการวิ่งการกุศล ตามระยะเวลาที่กำหนด

7. ฝึกลีลาศ หรือเล่นกีฬาเป็นทีม

8. ระหว่างดูโทรทัศน์ ช่วงโฆษณาท่านออกกำลังได้

9. ถ้าไม่มีความรู้ เรียนกับครูฝึกก่อน เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง และไม่มีอันตราย เช่น ฝึกกับนักกายภาพบำบัด

เวลาไปซื้อของ เสาะหาสิ่งที่ช่วยการคุมน้ำหนักไว้ด้วย เช่น รองเท้าวิ่ง, เครื่องชั่งน้ำหนัก, สายวัดรอบเอว จะช่วยให้สนุกสนานยิ่งขึ้น

ดอกแค แก้บิด-ท้องร่วง


เปลือก ใบ ราก ดอกมาต้มหยอดจมูกแก้ริดสีดวงจมูก

ต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักในนามของ ดอกแค มาฝากกัน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า ดอกแค นี้กันก่อนดีกว่า

ดอกแคเป็น พืชที่ปลูกง่าย มีอายุไม่นานก็ยืนต้นตาย แคเป็นพืชสายพันธุ์เหมือนพืชตระกูลถั่ว มีเนื้ออ่อน ใบจะเรียวดูคล้ายกับขนนก เมื่อออกดอกเป็นสีขาวและสีแดงเมื่อดอกบานออกแมลงจะมาตอมแล้วจะผสมเกสร ระหว่างดอกกัน จากนั้นก็จะกลายเป็นฝัก ฝักของมันจะมีลักษณะเหมือนถั่วฝักยาวปลูกได้ในทุกพื้นที่ทั้งดินเหนียวและ ดินปนทรายขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดที่แก่จัด ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน คันนา ริมถนน และในบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้เพื่อปรับพื้นที่ให้มีปุ๋ย เพราะใบแคที่ผุแล้ว ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์

สำหรับ ส่วนที่นิยมนำมารับประทานนั้นจะเป็นบริเวณยอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน และฝักอ่อนซึ่งจะออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกอ่อนจะออกในช่วงฤดูหนาว ดอกแค 100 กรัม หรือ 1 ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย 10 กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี

ที่สำคัญทุกส่วนของแคสามารถนำมาทำยาได้ จึงนับว่าเป็นพืชที่ทรงคุณค่ามากชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

เปลือกนำมาต้มคั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ ที่สำคัญสามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ ส่วนดอกแคมีคุณสมบัติในการใช้รักษาไข้หัวลมเมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี ใบจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย แก้รอยฟกช้ำโดยการโขลกแล้วนำไปพอกบริเวณนั้น สำหรับคนที่มีเป็นโรคริดสีดวงจมูก สามารถใช้เปลือก ใบ ราก และดอกมาต้มหยอดจมูกได้

ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือก่อนที่จะนำดอกแคมาทำอาหารต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อน เพราะเจ้าเกสรสีเหลืองนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีรสขม

รู้ อย่างนี้แล้วอย่ามองข้ามดอกแคนะคะ หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้นลองหาดอกแคมาแก้อาการดู แล้วคุณจะรู้ว่า พืช ผัก สมุนไพร ใกล้ตัวคุณมีประโยชน์มากจริงๆ

เลือกซื้อเสื้อชั้นใน แบบไหนถึงจะเหมาะ

เคล็ด(ไม่)ลับที่สาวๆ ต้องรู้


ข่าวดีสำหรับสาวๆ ที่กำลังกลุ้มใจว่าจะเลือกซื้อเสื้อชั้นในแบบไหนให้เหมาะกับ
หน้าอกหน้าใจ ของตนดี... ไม่ต้องกลุ้มใจแล้วค่ะวันนี้เรามีเคล็ดลับในการเลือกซื้อมาฝาก...

ประการแรกเลย หากจะซื้อทุกครั้งให้ลองเสื้อชั้นในก่อนเสมอ อย่าลืมนะค่ะต้องเลือกตัวที่กระชับพอดี และที่สำคัญอย่าซื้อเสื้อชั้นในเพียงแค่บอกไซส์ เพราะแต่ละแบบ แต่ละทรง จะออกแบบมาไม่เท่ากัน หรือไม่เหมาะกับทุกคนเสมอไปค่ะ

ประการต่อมาหากได้เสื้อชั้นในใหม่จริงๆ อย่าซื้อเสื่อชั้นในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนนะคะ เพราะอาจจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ หากนำมาสวมใส่ในช่วงเวลาหลังจากนั้นแล้วอาจจะหลวมทำให้หน้าอกดูไม่สวยได้ และการเลือกซื้อนั้นต้องพึงคิดถึงอยู่เสมอก็คือ เสื้อชั้นในที่พอดีต้องมีระดับตะขอ (หลัง) อยู่ใต้กระดูกสะบักหลังเท่านั้น หากสูงหรือต่ำลงกว่านั้นควรเลือกขนาดใหม่ดีกว่า

ประการที่สาม ต้องสังเกตเสมอนะค่ะว่าเมื่อสวมสวมเสื้อชั้นในแล้วสามารถสอดนิ้วเข้าไป บริเวณร่องอกได้หรือไม่ หากไม่ได้แสดงว่าเสื้อตัวนั้นคับเกินไปเปลี่ยนตัวใหม่ดีกว่าค่ะ

เคล็ดลับประการต่อไป สำหรับคุณผู้หญิงที่มีรอบอกระหว่าง 34-48 นิ้ว ควรเลือกซื้อเสื้อชั้นในชนิดที่มีฐานใต้โครงอก และเสื้อชั้นในแบบตะขอหน้าจะดีกว่าค่ะ เพราะเสื้อชั้นในแบบนี้จะทำให้หน้าอกของคุณได้รูปสวย

ประการสุดท้าย เสื้อชั้นในที่เลือกนั้นต้องมีเนื้อนุ่ม ยืดหยุ่นสบาย เวลาสวมใส่รูปอกจะดูสวยดูดีไม่ระคายเคืองทำให้หงุดหงิดใจ

เพียง แค่นี้คุณก็จะได้เสื้อชั้นในตัวใหม่ที่เมื่อสวมใส่แล้วทำให้คุณรู้สึกมั่นใจ ขึ้นมาได้แล้วละค่ะ อย่าลืมนะคะครั้งหน้าถ้าจะซื้อเสื้อชั้นใหม่นำวิธีที่นี้ไปใช้ รับรอง อก สวย ชัวร์...

สิว...ไม่ใช่แค่เรื่องผิวๆ


ใคร จะคิดว่าปัญหาเล็กๆ แค่เรื่องสิวๆ ธรรมดาๆ จะทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นมาได้ถ้ามีการรักษาไม่ตรงจุด เพราะอย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การเกิดสิว มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนในร่างกาย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าฮอร์โมนในร่างกายที่ว่านี้แปรปรวน ตับและไตเริ่มเสียสมดุล อาจเป็นเหตุก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในคนที่ใช้ยารักษาสิวซึ่งมีส่วนผสมของโรแอคคิวเท็นต่อเนื่องนานนับ ปีจนร่างกายเริ่มรวน อาจมีอาการแพ้ยาจนในที่สุดจะมีผื่นแดงทั่วร่างกาย นั่นคือสัญญาณอันตรายของหน้าพังแล้ว

แต่เมื่อปัญหาเกิดแล้วใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เกี่ยวกับเรื่องนี้พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี ได้ออกมาบอกว่า โรแอคคิวเท็นเป็นกรดวิตามินเอยอดฮิตในการรักษาสิว ที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันและต้านการอักเสบ ส่วนใหญ่แพทย์จะให้ใช้ติดต่อกันราว 3-4 สัปดาห์เท่านั้น แล้วจะค่อยๆ ให้ลดตัวยาลง ซึ่งหลายคนที่รักษาสิวด้วยยาตัวนี้มักพอใจในผลที่ได้รับ เพราะทำให้ผิวพรรณผ่องใส ไม่มัน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลข้างเคียง โดยเฉพาะอาการปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง จนใส่คอนแทคเลนส์ไม่ได้ ผิวหน้าร้อนแดง อักเสบ คล้ำขึ้น และไวต่อแสง หรือเครียดง่ายจนมีอาการทางจิต

บาง รายเป็นหนักถึงมีอาการจมูกแห้งจนเลือดกำเดาออก คอแห้ง ปากแห้ง เสียงแหบแห้งและคัน ผมร่วง ขนดก เล็บผิดรูปร่าง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ แคลเซียมจับกระดูกและเส้นเอ็น กระจกตาอักเสบ เม็ดเลือดแดงและขาวลด หากใช้นานเกิน 1 ปีอาจมีการสะสมก่อให้เป็นมะเร็งตับได้ หากใช้ขณะตั้งครรภ์ทำให้ทารกพิการได้ถึง 30% รวมทั้งห้ามใช้เด็ดขาดในผู้ป่วยโรคตับ ไต ผู้มีภาวะวิตามินเอสูงเกิน ผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง

ควร ใจเย็นกับการรักษาอาการสิวจากการใช้อาหารธรรมชาติบำบัด เช่น กินข้าวกล้อง ผักผลไม้สด ให้มากเพราะมีวิตามินซี ช่วยสร้างคอลลาเจน มีเบต้าแคโรทีนสูง จะช่วยลดอาการอักเสบ ทำให้จุดด่างดำจางลง เมล็ดฟักทองช่วยเรื่องการอักเสบ ถึงจะหายช้าแต่ก็มั่นใจว่าไม่อันตรายและยังราคาถูกอีกด้วย

ที่ สำคัญเพื่อป้องกันเจ้าสิววายร้ายตัวฉกาจของใบหน้า เราต้องดูแลรักษาทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ เช้า-เย็น ด้วยสบู่อ่อนๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะล้างกันบ่อยๆ นะค่ะ เพราะอาจจะทำให้หน้าแห้งได้ และอย่าลืมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดนะค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจจะนำมาซึ่งสิวได้ เพียงแค่นี้เจ้าสิว ก็จะเป็นเพียงแค่เรื่องสิวๆ ได้แล้วละ