น้ำกะทิ รักษาผมร่วง

โปรตีนช่วยบำรุงรากให้งอกยาวเร็ว

ใครมีปัญหาผมร่วง วันนี้มีวิธีรักษาผมร่วงด้วยน้ำกะทิมาฝาก...

น้ำกะทิ ขาวข้นอุดมไปด้วยสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย

วิธีทำ นำหัวกะทิมาชโลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว แล้วใช้ปลายนิ้วมือนวดเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วสระผมตามปกติ

เพียงเท่านี้ปัญหาผมร่วงก็จะหมดไป.

สิ่งที่ ‘ไม่’ ควรทำหลังทานอิ่ม!

สูบบุหรี่-อาบน้ำ-เดินย่อย เลี่ยงไว้เป็นดี

1. อย่าสูบบุหรี่ จากผลการทดลองของผู้เชี่ยวชาญพบว่า การสูบบุหรี่หลังอาหาร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวน (ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น)

2. อย่ากินผลไม้ทันทีหลังอาหาร เพราะมันไปพองในท้อง ให้กินผลไม้ 1 หรือ 2 ชั่วโมง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้จะดีกว่า

3. อย่าดื่มน้ำชา เพราะว่าใบชามีความเป็นกรดสูง ทำให้โปรตีนในอาหารที่เรากินกระด้างขึ้นทำให้ย่อยยาก

4. อย่าขยายเข็มขัดหลังกินอิ่ม เพราะเป็นเหตุให้ลำไส้ไม่ปกติ

5. อย่าอาบน้ำหลังกินข้าว เพราะการอาบน้ำจะทำให้โลหิตไหลเวียนไปที่มือและเท้าทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ปริมาณโลหิตไหลเวียน บริเวณท้องก็เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่

6. อย่าเดินหลังอาหาร แม้คุณจะเคยได้ยินว่า กินข้าวแล้ว ให้เดินสัก 100 ก้าว จะทำให้อายุยืนถึง 99 ปีการเดินทันทีทำให้การย่อยเพื่อดูดซึม สารอาหารทำได้ไม่ดี ควรรออย่างน้อยสักชั่วโมงค่อยเดิน ถ้าต้องการ

7. อย่านอนทันที อาหารที่รับประทานเข้าไป ไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้เกิดลม หรือแก๊สในทางเดินอาหาร

“ไข่ขาว”รักษาแผลน้ำร้อนลวก

แนะห้ามแกะ-เกา ก่อนทา เสี่ยงหนังถลอก

ใครที่ไม่อยากมีแผลเป็นจากการลูกน้ำร้อนลวกฟังทางนี้ มีวิธีรักษามาบอก

เริ่ม แรกนำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตอกใส่ในถ้วย แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว จากนั้นนำไข่ขาวมาทาบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้ทั่ว ทิ้งไว้สักพัก จนกว่าจะแห้ง เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด รอยแผลแดง หรือพุพองก็จะหายไป

ข้อแนะนำ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้แผลโดนน้ำเย็น หรือแคะแกะ เกา แผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้หนังถลอก

รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่ไม่อยากเป็นแผลเป็น ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์


เน้นผักและปลา เพราะย่อยง่าย

ใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ วันนี้คงสำราญ เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว วันนี้ยังมีเทคนิคกินบุฟเฟ่ต์อย่างไรให้ได้ประโยชน์มาบอกด้วย

- กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง และหันมากินเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แถมยังปราศจากไขมันและไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

- กินอาหารที่ต้มหรือลวก และพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชา

- สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่

- เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะ นอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อน ทำให้เนื้อไม่สุกดี

- อย่ารีบกินจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยย่อยอาหาร

- ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้น ๆ ด้วยวิธีเบา ๆ เช่น ค่อย ๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากกินอาหารแล้ว ห้ามล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ อื่น ๆ ก่อน

- รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ รับรองอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์

5 อาหารต้านรอยย่น


แถมช่วยลดเสี่ยงสารพัดโรคด้วย

รอยย่นบนใบหน้าเป็นสัญญาณความร่วงโรย หรือความแก่ชรานั่นเอง มีอาหารหลายชนิดช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของใบหน้าได้ ดังนี้

1.ซาร์ดีน เป็นปลาน้ำเย็นที่เต็มไปด้วยกรดโอเมก้า - 3 โปรตีน และแคลเซียม ซาร์ดีน 3 ออนซ์ให้แคลเซียมเท่ากับนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) มีเกร็ดเล่าว่า สมัยศตวรรษที่ 19 พระเจ้านโปเลียนมหาราชรับสั่งให้ถนอมอาหาร จุดกำเนิดของปลาซาร์ดีนในน้ำมันและซอสมะเขือเทศเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น

2. น้ำมันมะกอก สกัดจากผลไม้ชนิดหนึ่ง มีอัตราไขมันอิ่มตัวต่ำ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายควรเลือกใช้ชนิด Extra Virgin เพราะมีความบริสุทธิ์มากที่สุด และยังมากไปด้วยสารแอนติออกซิแดนต์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้

3.แซลมอน มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 โปรตีน และวิตามินเอ จำเป็นสำหรับสมองและการทำงานของหัวใจ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งเกลือแร่สำคัญอย่างแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม และสังกะสี หากกินแซลมอนร่วมกับผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานได้

4.น้ำผึ้ง มีหลายร้อยชนิดในโลกนี้ สีและกลิ่นจะต่างกันตามชนิดของเกสรดอกไม้ นอกจากเปี่ยมด้วยสารอาหารชั้นเลิศ ยังมีสรรพคุณเยียวยาอาการติดเชื้อของแผล รวมทั้งช่วยเก็บความชุ่มชื้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว

5.โยเกิร์ต เป็นอาหารเก่าแก่ที่สุดในโลกอีกชนิด มีอายุไม่ต่ำกว่า 10,000 ปี สันนิษฐานว่าต้นตำรับคือชาวตุรกีหรืออิหร่าน โยเกิร์ตถ้วยแรกเกิดขึ้นอย่างบังเอิญ จากการเก็บนมไว้ในถุงหนังแพะ ต่อมาได้รับการยอมรับว่า ช่วยเยียวยาอาการที่เกิดกับระบบย่อยอาหาร ช่วยล้างพิษ และทำให้อายุยืน

อาหารทั้ง 5 ชนิดต้องมีสักอย่างหรอกน่าที่ถูกปาก

กลิ่นปาก แก้ได้

คุณเคยมีปัญหากลิ่นเหม็นที่เกิดจากปากไหม?

ซึ่ง กลิ่นที่เกิดขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกันกับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วน อื่นๆ ของร่างกายมนุษย์ โดยเป็นผลมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตาม ส่วนต่างๆ ของช่องปากทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น

ซึ่งกลิ่นเหม็นในช่องปากสามารถแยกออกได้ 4 แบบ คือ แบบที่หนึ่งกลิ่นที่เกิดจากฟัน แบบที่สองกลิ่นที่เกิดจากโรคปริทันต์และซอกเหงือก แบบที่สามเกิดจากด้านหลังของลิ้น แบบที่สี่กลิ่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่

โดย ทั่วไปแล้วกลิ่นปากที่พบมากที่สุดในช่องปากคือที่ร่องเหงือก ลิ้น ครอบฟันบริเวณที่อุดฟัน โรคปริทันต์ ฟันที่ผุรูกว้าง ฟันปลอมชนิดถอดได้ซึ่งมีเศษอาหารตกค้าง การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อย และในคนสูบบุหรี่ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายในช่องปากและนอกช่องปาก

กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก เป็นผลมาจากแผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก แผลที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันหรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก ฟันผุที่มีเศษอาหารสามารถตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน โรคปริทันต์ที่ลุกลาม ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะรอบฟันเป็นที่สะสมของเศษอาหาร ผู้ที่ใส่ฟันปลอม หรือเครื่องมือต่างๆ ในช่องปาก เช่น เฝือกสบฟัน เครื่องมือจัดฟัน หรือ เครื่องมือกันฟันล้ม ที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดกลิ่นในช่องปาก

น้ำลายก็เป็นอีกหนึ่งตัวการที่สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ซึ่งในช่องปากของคนเรามีน้ำลายเป็นเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติให้มาเพื่อ ช่วยชะล้างสิ่งสกปรก กลิ่นปากเมื่อในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมากช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลาย ที่หลั่งออกมาน้อย เนื่องจากน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น โดยปกติน้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว การคิดถึงอาหารที่อร่อย หรืออาหารที่ชอบมากๆ แต่ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับ ภาวะการอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

บางครั้งกลิ่นเหม็นจากช่องปาก สามารถเกิดได้จาก ลิ้น บริเวณ โคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ ซึ่งอาการนี้จะทำให้มีน้ำเมือกจากช่องจมูกไหลลงคอในระยะแรกๆ แต่อาการนี้จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากในระยะแรกๆ แต่เมื่อทิ้งระยะไว้สัก 2-3 วัน แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่นนี้ได้โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมกลิ่นดู โดยปกติคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะได้กลิ่นเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแก้ไขด้วยการแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างอยู่ในช่องปากนี้ได้

การสูบบุหรี่ นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วไปของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่นๆ ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้

การหายใจทางปากบ่อย ทำให้น้ำลายแห้ง ดังนั้นการหายใจทางปากจึงส่งผลให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น และเกิดกลิ่นปากได้มากขึ้นเช่นกัน

การรับประทานอาหารก็สามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้เช่น กัน อาทิ หัวหอม หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารพวกนี้จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกแล้ว กลิ่นก็จะหายไปได้เอง

แต่สำหรับในบางกรณีระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่เกิดขึ้นสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เช่น

โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงจมูก โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด โรคของระบบขับถ่าย

ซึ่ง วิธีทดสอบง่ายๆ หากอยากรู้ว่าเรามีกลิ่นปากหรือไม่สามารถทำได้โดยใช้วิธีเอามือปิดปากและ จมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก และดม ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่ หรืออาจจะใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู ในบางคนอาจจะใช้นิ้วมือถูที่บริเวณเหงือก แล้วนำมาดมกลิ่นว่าเหม็นหรือไม่

ใช้วิธีขอร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้

เมื่อ รู้ว่าเรามีกลิ่นปากสามารถดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปากได้ง่ายๆ ด้วยการดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ หากมีสภาพเหงือกหรือฟันที่เป็นโรค ควรรีบรักษา หรือปรึกษาทันตแพทย์ทันที ในกรณีที่มีฟันเก มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่เป็นแหล่งทำให้มีเศษอาหารตกค้าง ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากการแปรงฟัน

ลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาดและแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น ที่สำคัญต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ใครที่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปากรีบดูแลตัวเอง รักษาความสะอ่าองปากรับรอง ไม่นานมีคนอยากเข้าใกล้คุณอีกเพียบ….

ดอกแค แก้บิด-ท้องร่วง


เปลือก ใบ ราก ดอกมาต้มหยอดจมูกแก้ริดสีดวงจมูก

วันนี้เรามีต้นไม้พื้นบ้านที่รู้จักในนามของ ดอกแค มาฝากกัน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า ดอกแค นี้กันก่อนดีกว่า

ดอกแคเป็น พืชที่ปลูกง่าย มีอายุไม่นานก็ยืนต้นตาย แคเป็นพืชสายพันธุ์เหมือนพืชตระกูลถั่ว มีเนื้ออ่อน ใบจะเรียวดูคล้ายกับขนนก เมื่อออกดอกเป็นสีขาวและสีแดงเมื่อดอกบานออกแมลงจะมาตอมแล้วจะผสมเกสร ระหว่างดอกกัน จากนั้นก็จะกลายเป็นฝัก ฝักของมันจะมีลักษณะเหมือนถั่วฝักยาวปลูกได้ในทุกพื้นที่ทั้งดินเหนียวและ ดินปนทรายขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ดที่แก่จัด ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน คันนา ริมถนน และในบริเวณบ้าน หรือปลูกไว้เพื่อปรับพื้นที่ให้มีปุ๋ย เพราะใบแคที่ผุแล้ว ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์

สำหรับ ส่วนที่นิยมนำมารับประทานนั้นจะเป็นบริเวณยอดอ่อน ดอกอ่อน ใบอ่อน และฝักอ่อนซึ่งจะออกในช่วงฤดูฝน ส่วนดอกอ่อนจะออกในช่วงฤดูหนาว ดอกแค 100 กรัม หรือ 1 ขีด ให้พลังงานต่อร่างกาย 10 กิโลแคลอรี มีเส้นใยอาหาร แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง และวิตามินซี

ที่สำคัญทุกส่วนของแคสามารถนำมาทำยาได้ จึงนับว่าเป็นพืชที่ทรงคุณค่ามากชนิดหนึ่งเลยทีเดียว

เปลือกนำมาต้มคั้นน้ำแก้ท้องร่วง แก้บิด แก้มูกเลือด คุมธาตุ ที่สำคัญสามารถช่วยแก้อาการปวดศีรษะได้ ส่วนดอกแคมีคุณสมบัติในการใช้รักษาไข้หัวลมเมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี ใบจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย แก้รอยฟกช้ำโดยการโขลกแล้วนำไปพอกบริเวณนั้น สำหรับคนที่มีเป็นโรคริดสีดวงจมูก สามารถใช้เปลือก ใบ ราก และดอกมาต้มหยอดจมูกได้

ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือก่อนที่จะนำดอกแคมาทำอาหารต้องเด็ดเกสรสีเหลืองของดอกแคออกก่อน เพราะเจ้าเกสรสีเหลืองนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีรสขม

รู้ อย่างนี้แล้วอย่ามองข้ามดอกแคนะคะ หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้นลองหาดอกแคมาแก้อาการดู แล้วคุณจะรู้ว่า พืช ผัก สมุนไพร ใกล้ตัวคุณมีประโยชน์มากจริงๆ